วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
0
หากไม่อยากป่วยด้วยโรคทางสมอง ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับเติมพลังสมองด้วยวิธีง่าย ๆ แค่อย่าละเลยการรับประทานอาหารมื้อเช้า เพราะมีผลต่อความจำที่ดี ทั้งยังป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
สำหรับอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองด้านความจำคืออาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามินบี1 บี6 และบี12 รวมทั้งวิตามินซีเพื่อความกระปรี้กระเปร่า น้ำมันพริมโรสเติมความชุ่มชื่นให้เซลล์ และดื่มน้ำมาก ๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด
อีกทั้งขณะหลับร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมอง ดังนั้นในแต่ละวันควรหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องไม่นอนดึก
ในเรื่องความคิดควรคิดในเชิงบวก นับตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หากมีจิตใจที่แจ่มใส ตลอดทั้งวันอารมณ์ความรู้สึกก็จะเบิกบาน ทั้งยังต้องหมั่นหัวเราะเพื่อผ่อนคลายกังวล
ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การนั่งสมาธิเพียงวันละ 10 นาที ให้สมองเข้าสมาธิแบบลึก จัดเป็นการผ่อนคลายสมองที่ดี เสริมสร้างจินตนาการ ไม่ทำให้หลงลืมอะไรง่าย ๆ
ส่วนเรื่องใกล้ตัวอยู่แค่ปลายจมูก อย่าง การหายใจก็ช่วยเพิ่มพลังให้สมองได้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ เพียง 15 นาทีต่อวัน จะทำให้สมองได้ถ่ายเทออกซิเจนได้เต็มที่สมองต้องการ 20-25%
สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เพื่อการบริหารสมองทั้งซีกซ้ายและขวา หรือฝึกคิดคำนวณ แก่ปริศนาบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วย.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
เคล็ดลับเติมพลังสมอง
หากไม่อยากป่วยด้วยโรคทางสมอง ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับเติมพลังสมองด้วยวิธีง่าย ๆ แค่อย่าละเลยการรับประทานอาหารมื้อเช้า เพราะมีผลต่อความจำที่ดี ทั้งยังป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
สำหรับอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองด้านความจำคืออาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามินบี1 บี6 และบี12 รวมทั้งวิตามินซีเพื่อความกระปรี้กระเปร่า น้ำมันพริมโรสเติมความชุ่มชื่นให้เซลล์ และดื่มน้ำมาก ๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด
อีกทั้งขณะหลับร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมอง ดังนั้นในแต่ละวันควรหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง ที่สำคัญต้องไม่นอนดึก
ในเรื่องความคิดควรคิดในเชิงบวก นับตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หากมีจิตใจที่แจ่มใส ตลอดทั้งวันอารมณ์ความรู้สึกก็จะเบิกบาน ทั้งยังต้องหมั่นหัวเราะเพื่อผ่อนคลายกังวล
ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การนั่งสมาธิเพียงวันละ 10 นาที ให้สมองเข้าสมาธิแบบลึก จัดเป็นการผ่อนคลายสมองที่ดี เสริมสร้างจินตนาการ ไม่ทำให้หลงลืมอะไรง่าย ๆ
ส่วนเรื่องใกล้ตัวอยู่แค่ปลายจมูก อย่าง การหายใจก็ช่วยเพิ่มพลังให้สมองได้ แค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ เพียง 15 นาทีต่อวัน จะทำให้สมองได้ถ่ายเทออกซิเจนได้เต็มที่สมองต้องการ 20-25%
สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด เพื่อการบริหารสมองทั้งซีกซ้ายและขวา หรือฝึกคิดคำนวณ แก่ปริศนาบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วย.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
0
แอ๊ปเปิ้ลหลากสีต้านโรค
ด้วยรูปร่างน่าตาที่น่ารัก กลิ่นหอม รสชาติอร่อย แถมมีประโยชน์ให้ได้พูดถึงกันอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้แอ๊ปเปิ้ลครองใจสาวๆ หลายคน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมคะว่า แอ๊ปเปิ้ลแต่ละสีนั้นให้ประโยชน์ต่างกันอย่างไร
แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอ๊ปเปิ้ลพันธุ์ “Fuji” นั้น มีฟิโนลิก มากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย
แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอ๊ปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ “Golden Delicious” มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
ที่มา :http://variety.teenee.com/foodforbrain/28104.html
แอ๊ปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ “Red delicious” ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ
แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็มีดี ไม่แพ้ใคร เพราะการกินแอ๊ปเปิ้ลสีเขียว อย่างพันธุ์ “Granny Smith” นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี
แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอ๊ปเปิ้ลพันธุ์ “Fuji” นั้น มีฟิโนลิก มากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย
แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอ๊ปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอ๊ปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ “Golden Delicious” มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
ที่มา :http://variety.teenee.com/foodforbrain/28104.html
วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
0
บางครั้งสิ่งต่างๆ ที่เราทำเป็นประจำทุกวันก็ทำร้ายโครงสร้างของร่างกายให้เสียมสมดุลโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของคนทำงานแทบทั้งสิ้น เรามาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง แล้วลองตรวจเช็คดูนะคะว่าคุณทำในสิ่งเหล่านี้กี่ข้อ
1. ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเกินกว่า 1 นิ้วครึ่งคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่แล้วล่ะค่ะเพราะการสวมรองเท้าส้นสูงๆ จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดปกติและทำให้มีอาการปวดหลังตามมา
2. นั่งไขว่ห้าง นี่ก็เป็นอีกพฤติกรรมที่มีคนนิยมทำกันมาก แต่ทราบไหมคะว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนค่ะ
3. นั่งกอดอก เวลาที่รู้สึกว่ามือไม้เกะกะ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี การกอดอกไว้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งการกอดอกจะทำให้หลังช่วงบนสะบัก และ หัวไหล่ ถูกยืดออก หลังช่วงบนจะค่อมและงุ้มไปด้านหน้าทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า ซึ่งมีผลต่อเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงแขน จึงอาจทำให้มืออ่อนแรง หรือมีอาการชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้วย เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูปไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจึงถูกจำกัด ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดศรีษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้
4. นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หลายคนคงจะเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้ว การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้อทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ ในทางตรงข้าม ถ้านั่งเก้าอี้ให้เต็มก้นคือเลื่อนก้นให้เข้าไปถึงด้านในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลง และเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
5. นั่งหลังงอ บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจที่นั่งหลังงอแต่พอนั่งไปนานๆ เราก็ค่อยๆ งอหลังลงโดยที่ไม่รู้ตัว การนั่งทำงานหลังงอหรือนั่งกลังค่อมเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
6. สะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียว มักจะเป็นกลุ่มคุณผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีของจุกจิกใส่ไว้ในกระเป๋ามากมาย การสะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียวนานๆ จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพียงซีกเดียว ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดได้ ทางที่ดีควรสลับข้างกันสะพายบ้างหรือเปลี่ยนมาใช้วิธีถือแทนการสะพายพยายามทำให้ร่างกายทั้งสองซีกมีความสมดุล และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรสะพายหรือหิ้วของหนักๆ นานๆ
7. หิ้วของหนักๆ ด้วยนิ้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบใช้เพียงบางนิ้วในการหิ้วของ การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะทำให้เกิดพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆ แล้วกล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กมีหน้าที่หลักคือ ใช้หยิบ, จับของเบาๆ หากต้องใช้จับหรือหิ้วของหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสีและเกิดพังผืดขึ้นในที่สุด ถ้าหิ้วของหนักมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ถูกรั้ง และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้
8. ยืนหลังแอ่น และ ยืนหลังค่อม จำทำให้แนวกระดูกช่วงล่างแอ่นและทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา การยืนที่ถูกต้องคือ ยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย รวมถึงขณะเดินและนั่งก็ให้แขม่วท้องเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
9. ยืนพักขา เป็นการยืนโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างนั้นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้การยืนที่ถูกต้องคือต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างจะไดรับน้ำหนักเท่าๆ กัน
10. นอนขดตัว หรือ นอนตะแคง จะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวตรง ท่านอนที่ถูกต้องที่สุดคือ ท่านอนหงาย โดยให้หน้าขนานกับเพดาน ไม่หงายไปด้านหลัง หรือ งอมาด้านหน้ามากเกินไป หมอนหนุนศรีษะก็ต้องไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างมาก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้างเพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับพฤติกรรมทั้ง 10 ข้อนี้ คุณมีกี่ข้อคะยิ่งมีมากข้อเท่าไหร่ โครงสร้างของร่างกายก็เสียสมดุลมากเท่านั้นเพราะฉะนั้นมาปรับพฤติกรรมในชีวิตเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายคุณ
10 พฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุล
บางครั้งสิ่งต่างๆ ที่เราทำเป็นประจำทุกวันก็ทำร้ายโครงสร้างของร่างกายให้เสียมสมดุลโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของคนทำงานแทบทั้งสิ้น เรามาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง แล้วลองตรวจเช็คดูนะคะว่าคุณทำในสิ่งเหล่านี้กี่ข้อ
1. ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเกินกว่า 1 นิ้วครึ่งคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่แล้วล่ะค่ะเพราะการสวมรองเท้าส้นสูงๆ จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดปกติและทำให้มีอาการปวดหลังตามมา
2. นั่งไขว่ห้าง นี่ก็เป็นอีกพฤติกรรมที่มีคนนิยมทำกันมาก แต่ทราบไหมคะว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนค่ะ
3. นั่งกอดอก เวลาที่รู้สึกว่ามือไม้เกะกะ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี การกอดอกไว้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก ซึ่งการกอดอกจะทำให้หลังช่วงบนสะบัก และ หัวไหล่ ถูกยืดออก หลังช่วงบนจะค่อมและงุ้มไปด้านหน้าทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า ซึ่งมีผลต่อเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงแขน จึงอาจทำให้มืออ่อนแรง หรือมีอาการชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองด้วย เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูปไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจึงถูกจำกัด ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดศรีษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้
4. นั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น หลายคนคงจะเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาแล้ว การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้อทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ ในทางตรงข้าม ถ้านั่งเก้าอี้ให้เต็มก้นคือเลื่อนก้นให้เข้าไปถึงด้านในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลง และเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
5. นั่งหลังงอ บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจที่นั่งหลังงอแต่พอนั่งไปนานๆ เราก็ค่อยๆ งอหลังลงโดยที่ไม่รู้ตัว การนั่งทำงานหลังงอหรือนั่งกลังค่อมเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
6. สะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียว มักจะเป็นกลุ่มคุณผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีของจุกจิกใส่ไว้ในกระเป๋ามากมาย การสะพายกระเป๋าหนักๆ ด้วยไหล่ข้างเดียวนานๆ จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพียงซีกเดียว ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกคดได้ ทางที่ดีควรสลับข้างกันสะพายบ้างหรือเปลี่ยนมาใช้วิธีถือแทนการสะพายพยายามทำให้ร่างกายทั้งสองซีกมีความสมดุล และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรสะพายหรือหิ้วของหนักๆ นานๆ
7. หิ้วของหนักๆ ด้วยนิ้ว โดยเฉพาะคนที่ชอบใช้เพียงบางนิ้วในการหิ้วของ การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะทำให้เกิดพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆ แล้วกล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กมีหน้าที่หลักคือ ใช้หยิบ, จับของเบาๆ หากต้องใช้จับหรือหิ้วของหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสีและเกิดพังผืดขึ้นในที่สุด ถ้าหิ้วของหนักมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ถูกรั้ง และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้
8. ยืนหลังแอ่น และ ยืนหลังค่อม จำทำให้แนวกระดูกช่วงล่างแอ่นและทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา การยืนที่ถูกต้องคือ ยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย รวมถึงขณะเดินและนั่งก็ให้แขม่วท้องเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
9. ยืนพักขา เป็นการยืนโดยทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างนั้นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป และทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้การยืนที่ถูกต้องคือต้องลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างจะไดรับน้ำหนักเท่าๆ กัน
10. นอนขดตัว หรือ นอนตะแคง จะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวตรง ท่านอนที่ถูกต้องที่สุดคือ ท่านอนหงาย โดยให้หน้าขนานกับเพดาน ไม่หงายไปด้านหลัง หรือ งอมาด้านหน้ามากเกินไป หมอนหนุนศรีษะก็ต้องไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างมาก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้างเพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับพฤติกรรมทั้ง 10 ข้อนี้ คุณมีกี่ข้อคะยิ่งมีมากข้อเท่าไหร่ โครงสร้างของร่างกายก็เสียสมดุลมากเท่านั้นเพราะฉะนั้นมาปรับพฤติกรรมในชีวิตเสียใหม่ เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายคุณ
วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
0
Iskilde ลิตรละ 567 บาท น้ำดื่มขวดนี้มาจากดินแดนโคนมเดนมากค์ เป็นน้ำแร่ที่เพิ่งค้นพบใหม่ที่เขตสงวน Messo ซึ่งแน่ละมันสะอาดและบริสุทธิ์มาก วิธีการได้น้ำขวดนี้มาต้องเจาะลงไปใต้ดิน 50 เมตรครับคล้ายน้ำแร่ยี่ห้อหนึ่งของไทย น้ำแร่ชนิดนี้เหมาะที่จะใช่กินร่วมกับสเต็กครับ บรรจุในขวดขนาด 1 ลิตร
Finé ลิตรละ 1,312.29 บาท ครับ ว่ากันว่าขวดนี้เหมาะสำหรับอาหารประเภทซูชิ ลื้อกันว่ารสชาติออกหวามนิดๆ น้ำดื่มขวดนี้สูบมาจากใต้ภูเขาไฟฟูจิ 600 เมตร โดยแหล่งน้ำนี้จะมีบางส่วนเป็นน้ำพุร้อนอีกด้วย เชื่อกันว่าในน้ำขวดนี้อุดมไปด้วย ซิลิกา ซึ่งช่วยเรื่องความงามของ ผม เล็บและช่วยร่างกายสร้างคลอลาเจนชลอความแก่ชราด้วย
OGO ลิตรละ 1,512 บาทครับ เจ้าขวดกลมขวดนี้ มันมาจากเนเธอแลนด์ดินแดนแห่งดอกทิวลิป และกัญชาในร้านกาแฟ ที่นี้ยังมีแหล่งน้ำพุ Prise d'eau น้ำดื่มนี้ได้รับการรับรองว่ามีปรอมาณ ออกซิเจนตามธรรมชาติสูงมากกว่าน้ำดื่มทั่วไป ดื่มแล้วให้ความสดซื่นครับ OGO มาจากคำว่า Oxigen To Go
Mahalo Deep Sea Water ลิตรละ 1,764 บาท หลายคนอาจพอรู้แหล่งกำเนิดจากซื่อแล้ว ครับขวดนี้มาจาก ฮาวาย อเมริกา ครับ ความเด่นของน้ำนี้เป็นน้ำจืดจากใต้ทะเล ย้ำนะครับว่าใต้ทะเลไม่ใช่ใต้ดิน น้ำชนิดนี้เกิดจากภูเขาน้ำแข็งที่ละลายตัวลงไปในทะเลครับ แล้วด้วยความหนาแน่นที่ต่างกันมาก น้ำจืดชนิดไม่ปนกับน้ำทะเลแต่นอนก้นอยู่ใต้ทะเลแทน แล้วนั้นละครับที่มาของมัน ซับซ้อนสุดๆ
Berg ลิตรละ 1,890 บาท น้ำขวดนี้มาจากแคนาดา มาจากธารน้ำแข็งโบราณที่กรีนแลนด์แตกตัวครับ แล้วลอยข้ามหมาสมุธมาให้ทางแคนนาดาละลายใส่ขวดครับ ธารน้ำแข็งแห่งนี้อายุถึง 15,000 ปีครับ และต้องไปสกัดตอนยังไม่เกยฝั่งซึ่งยากมากครับ ยังครับ พวกนี้น้ำจิ้มเท่านั้นเมื่อเทียบกับ 2 ขวดสุดท้าย
420 Volcanicราคาเบาะๆ 3,150 บาทต่อลิตร มาฟังคุณสมบัติก่อราคาดีกว่าครับ น้ำขวดนี้มาจากนิวซีแลนด์ครับ ดินแดนแห่งธรรมชาติงดงาม ฉากหลังเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะริง ทั้ง 3 ภาค น้ำขวดนี้มาจากภูเขาไฟ Tai Tapu โดยเป็นน้ำใต้ดินที่ผ่านการกรองจากหินภูเขาไฟ แล้วฝั่งตัวลึกลงไป 200 เมตรครับ อย่า...................อย่าเพิ่งอ้าปากค้างละ มาถึงอันที่แพงที่สุด
Bling H2O น้ำดื่มขวดนี้ได้รับการยอมรับว่าแพงที่สุดในโลก น้ำดื่มขวดนี้ไม่มีความพิเศษด้านที่มาเหมือนขวดที่ผ่านๆมาครับ ความพิเศษมันอยู่ที่ตัวขวดประดับด้วยคริลตอล ชวารอสกี้ และจุกไม้ก๊อกแท้ พร้อมด้ว สโลแกนว่า "ขวดน้ำที่คุณถือแล้วแสดงความเป็นตัวคุณเอง"
น้ำดื่มที่แพงที่สุดในโลก
Iskilde ลิตรละ 567 บาท น้ำดื่มขวดนี้มาจากดินแดนโคนมเดนมากค์ เป็นน้ำแร่ที่เพิ่งค้นพบใหม่ที่เขตสงวน Messo ซึ่งแน่ละมันสะอาดและบริสุทธิ์มาก วิธีการได้น้ำขวดนี้มาต้องเจาะลงไปใต้ดิน 50 เมตรครับคล้ายน้ำแร่ยี่ห้อหนึ่งของไทย น้ำแร่ชนิดนี้เหมาะที่จะใช่กินร่วมกับสเต็กครับ บรรจุในขวดขนาด 1 ลิตร
Finé ลิตรละ 1,312.29 บาท ครับ ว่ากันว่าขวดนี้เหมาะสำหรับอาหารประเภทซูชิ ลื้อกันว่ารสชาติออกหวามนิดๆ น้ำดื่มขวดนี้สูบมาจากใต้ภูเขาไฟฟูจิ 600 เมตร โดยแหล่งน้ำนี้จะมีบางส่วนเป็นน้ำพุร้อนอีกด้วย เชื่อกันว่าในน้ำขวดนี้อุดมไปด้วย ซิลิกา ซึ่งช่วยเรื่องความงามของ ผม เล็บและช่วยร่างกายสร้างคลอลาเจนชลอความแก่ชราด้วย
OGO ลิตรละ 1,512 บาทครับ เจ้าขวดกลมขวดนี้ มันมาจากเนเธอแลนด์ดินแดนแห่งดอกทิวลิป และกัญชาในร้านกาแฟ ที่นี้ยังมีแหล่งน้ำพุ Prise d'eau น้ำดื่มนี้ได้รับการรับรองว่ามีปรอมาณ ออกซิเจนตามธรรมชาติสูงมากกว่าน้ำดื่มทั่วไป ดื่มแล้วให้ความสดซื่นครับ OGO มาจากคำว่า Oxigen To Go
Mahalo Deep Sea Water ลิตรละ 1,764 บาท หลายคนอาจพอรู้แหล่งกำเนิดจากซื่อแล้ว ครับขวดนี้มาจาก ฮาวาย อเมริกา ครับ ความเด่นของน้ำนี้เป็นน้ำจืดจากใต้ทะเล ย้ำนะครับว่าใต้ทะเลไม่ใช่ใต้ดิน น้ำชนิดนี้เกิดจากภูเขาน้ำแข็งที่ละลายตัวลงไปในทะเลครับ แล้วด้วยความหนาแน่นที่ต่างกันมาก น้ำจืดชนิดไม่ปนกับน้ำทะเลแต่นอนก้นอยู่ใต้ทะเลแทน แล้วนั้นละครับที่มาของมัน ซับซ้อนสุดๆ
Berg ลิตรละ 1,890 บาท น้ำขวดนี้มาจากแคนาดา มาจากธารน้ำแข็งโบราณที่กรีนแลนด์แตกตัวครับ แล้วลอยข้ามหมาสมุธมาให้ทางแคนนาดาละลายใส่ขวดครับ ธารน้ำแข็งแห่งนี้อายุถึง 15,000 ปีครับ และต้องไปสกัดตอนยังไม่เกยฝั่งซึ่งยากมากครับ ยังครับ พวกนี้น้ำจิ้มเท่านั้นเมื่อเทียบกับ 2 ขวดสุดท้าย
420 Volcanicราคาเบาะๆ 3,150 บาทต่อลิตร มาฟังคุณสมบัติก่อราคาดีกว่าครับ น้ำขวดนี้มาจากนิวซีแลนด์ครับ ดินแดนแห่งธรรมชาติงดงาม ฉากหลังเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะริง ทั้ง 3 ภาค น้ำขวดนี้มาจากภูเขาไฟ Tai Tapu โดยเป็นน้ำใต้ดินที่ผ่านการกรองจากหินภูเขาไฟ แล้วฝั่งตัวลึกลงไป 200 เมตรครับ อย่า...................อย่าเพิ่งอ้าปากค้างละ มาถึงอันที่แพงที่สุด
Bling H2O น้ำดื่มขวดนี้ได้รับการยอมรับว่าแพงที่สุดในโลก น้ำดื่มขวดนี้ไม่มีความพิเศษด้านที่มาเหมือนขวดที่ผ่านๆมาครับ ความพิเศษมันอยู่ที่ตัวขวดประดับด้วยคริลตอล ชวารอสกี้ และจุกไม้ก๊อกแท้ พร้อมด้ว สโลแกนว่า "ขวดน้ำที่คุณถือแล้วแสดงความเป็นตัวคุณเอง"
ตัวขวดก็ทำด้วยทรายชนิดพิเศษ เจ้าของเป็นคนเขียนบท ระดับรางวัลเอ็มมี่ทีเดียว ขวดนี้ไม่ถึงลิตร แค่ 750 มิลลิลิตรเท่านั้น.....ราคาที่แสดงความเป็นคุณ คือ 4,280 บาท
ที่มา : http://fwmail.teenee.com/etc/32710.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)